เทคนิคเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ WordPress

เทคนิคเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ WordPress ที่คุณก็ทำเองได้

การเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ความเร็วในการโหลดที่ดีช่วยลดอัตราการละทิ้งเว็บไซต์ (bounce rate) และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เข้าชมกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง ในบทความนี้ เราจะแนะนำเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำเองได้เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ WordPress ของคุณ

เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ WordPress

โฮสติ้งคุณภาพสูง

1. เลือกใช้โฮสติ้งคุณภาพสูง

โฮสติ้งที่คุณเลือกใช้เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ หากคุณใช้โฮสติ้งที่มีคุณภาพต่ำและมีเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า จะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลือกโฮสติ้งคุณภาพสูงที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้งานเป้าหมายของคุณจะช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดได้อย่างมาก

เคล็ดลับเลือก

  • เลือกโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Managed WordPress Hosting ซึ่งถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับ WordPress และมักมีการปรับแต่งเพื่อเพิ่มความเร็ว
  • พิจารณาใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อช่วยกระจายการโหลดของเว็บไซต์เร็วขึ้น

2. ใช้ธีมที่มีความเร็วสูงและน้ำหนักเบา

ธีมที่คุณเลือกใช้บนเว็บไซต์ WordPress มีผลต่อความเร็วในการโหลดมาก ธีมที่มีการออกแบบที่ซับซ้อนหรือน้ำหนักหนักอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้า ควรเลือกใช้ธีมที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อความเร็วและมีการเข้ารหัสที่สะอาด

เคล็ดลับ

  • เลือกใช้ธีมที่ถูกออกแบบมาให้มีความเร็วสูง เช่น Astra GeneratePress หรือ Neve
  • หลีกเลี่ยงการใช้ธีมที่มีฟีเจอร์เยอะเกินความจำเป็น ควรเลือกธีมที่ตรงกับความต้องการพื้นฐานของคุณเท่านั้น

3. ลดขนาดและปรับแต่งภาพก่อนอัปโหลด

ภาพขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า การลดขนาดและปรับแต่งภาพก่อนอัปโหลดจะช่วยลดขนาดไฟล์และทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์หรือปลั๊กอินในการปรับขนาดภาพได้อย่างง่ายดาย

เคล็ดลับ

  • ใช้เครื่องมืออย่าง TinyPNG หรือ ImageOptim เพื่อบีบอัดภาพก่อนอัปโหลด
  • ใช้ปลั๊กอิน WordPress เช่น Smush หรือ ShortPixel เพื่อบีบอัดภาพและลดขนาดไฟล์ภาพที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ
Cache

4. ใช้ปลั๊กอิน Cache เพื่อเพิ่มความเร็ว

ปลั๊กอิน Cache เป็นเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ไว้ในแคชเพื่อให้สามารถโหลดได้เร็วขึ้นในครั้งต่อไปที่ผู้ใช้เข้าชม โดยไม่ต้องโหลดข้อมูลใหม่ทุกครั้ง ซึ่งช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์ได้อย่างมาก

เคล็ดลับ

  • ติดตั้งและตั้งค่าปลั๊กอิน Cache เช่น W3 Total Cache WP Super Cache หรือ WP Rocket เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลด
  • ตรวจสอบและปรับแต่งการตั้งค่าแคชให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

5. ลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น

การติดตั้งปลั๊กอินมากเกินไปอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง เนื่องจากปลั๊กอินแต่ละตัวต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์ในการทำงาน การลดจำนวนปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นจะช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ได้

เคล็ดลับ

  • ตรวจสอบปลั๊กอินที่คุณใช้อยู่และลบปลั๊กอินที่ไม่ได้ใช้งานหรือล้าสมัยออกไป
  • พิจารณาใช้ปลั๊กอินที่มีฟีเจอร์ครอบคลุมหลายอย่างในตัวเดียว เพื่อลดจำนวนปลั๊กอินที่ต้องติดตั้ง

6. เปิดใช้งาน GZIP Compression

GZIP Compression เป็นเทคนิคที่ช่วยบีบอัดไฟล์ที่ส่งจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยลดขนาดไฟล์และทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น วิธีนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเพิ่มโค้ดในไฟล์ .htaccess หรือใช้ปลั๊กอินที่รองรับการบีบอัด GZIP

เคล็ดลับ

  • ใช้ปลั๊กอินอย่าง WP Rocket หรือ W3 Total Cache เพื่อเปิดใช้งาน GZIP Compression บนเว็บไซต์ของคุณ

หากคุณมีความรู้ด้านเทคนิค สามารถเพิ่มโค้ดต่อไปนี้ในไฟล์ .htaccess เพื่อเปิดใช้งาน GZIP Compression

# GZIP Compression
<IfModule mod_deflate.c>
AddOutputFilterByType DEFLATE text/html text/plain text/xml text/css text/javascript application/javascript application/json
</IfModule>

7. ปรับแต่งการเชื่อมต่อฐานข้อมูล

การเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ช้าอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าได้เช่นกัน การปรับแต่งฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์

เคล็ดลับ

  • ใช้ปลั๊กอินเช่น WP-Optimize เพื่อทำความสะอาดฐานข้อมูลและลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้จากการแก้ไขโพสต์หรือความคิดเห็นสแปม
  • พิจารณาการเพิ่มการแคชการเชื่อมต่อฐานข้อมูลเพื่อให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นในครั้งต่อไป
ฐานข้อมูลเว็บไซต์

8. ใช้ Content Delivery Network (CDN)

Content Delivery Network (CDN) เป็นเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถโหลดได้เร็วขึ้นโดยการให้บริการเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับผู้ใช้งานมากที่สุด วิธีนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์

เคล็ดลับ

  • ใช้บริการ CDN ที่มีชื่อเสียง เช่น Cloudflare MaxCDN หรือ Amazon CloudFront
  • ตั้งค่า CDN เข้ากับเว็บไซต์ WordPress ของคุณผ่านปลั๊กอินที่รองรับการเชื่อมต่อกับ CDN

9. ลดจำนวนการเรียกไฟล์ (HTTP Requests)

ทุกครั้งที่เว็บไซต์ของคุณโหลด จะมีการเรียกไฟล์ต่าง ๆ จากเซิร์ฟเวอร์ เช่น ไฟล์ CSS JavaScript และรูปภาพ ยิ่งมีการเรียกไฟล์มากขึ้น เวลาที่ใช้ในการโหลดเว็บไซต์ก็จะยิ่งนานขึ้น การลดจำนวนการเรียกไฟล์จะช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น

เคล็ดลับ

  • รวมไฟล์ CSS และ JavaScript ให้เป็นไฟล์เดียวเพื่อลดจำนวนการเรียกไฟล์
  • ลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นหรือรวมไฟล์รูปภาพหลาย ๆ ไฟล์เข้าไว้ด้วยกัน

10. ปิดใช้งาน Pingbacks และ Trackbacks

Pingbacks และ Trackbacks เป็นฟีเจอร์ของ WordPress ที่แจ้งเตือนเมื่อมีเว็บไซต์อื่นลิงก์มาหาคุณ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้อาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง เนื่องจากจะต้องสร้างการร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่น ๆ ทุกครั้งที่มีการลิงก์

เคล็ดลับ

  • ปิดใช้งาน Pingbacks และ Trackbacks โดยไปที่ Dashboard > Settings > Discussion แล้วทำการยกเลิกการเลือก “Allow link notifications from other blogs (pingbacks and trackbacks)”

สรุปท้ายบทความ เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บ WordPress

การเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ WordPress เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ คุณจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้โหลดเร็วขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อ SEO และการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหาอย่าง Google อีกด้วย การดำเนินการตามเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีเว็บไซต์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อย เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บ WordPress

You May Also Like

More From Author