เว็บไซต์ WordPress เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงและใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม การที่ WordPress เป็นที่นิยมทำให้มันกลายเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ด้วยเช่นกัน การรักษาความปลอดภัยเว็บไซต์ WordPress จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ทุกคนควรให้ความสำคัญอย่างมาก บทความนี้จะอธิบายวิธีการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้บนเว็บไซต์ WordPress ของคุณ
รักษาความปลอดภัยเว็บไซต์ WordPress
1. อัปเดต WordPress ธีม และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ
การอัปเดตเป็นวิธีการแรกที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ WordPress ของคุณ WordPress ธีม และปลั๊กอินทั้งหมดมีการพัฒนาและออกอัปเดตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอัปเดตที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หากคุณไม่ทำการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ เว็บไซต์ของคุณอาจมีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลหรือระบบได้ง่าย
ทำไมการอัปเดตถึงสำคัญ ทุกครั้งที่มีการอัปเดต มักจะมีการแก้ไขช่องโหว่ที่เคยมีในเวอร์ชันก่อนหน้า หากไม่ทำการอัปเดต เว็บไซต์ของคุณยังคงมีช่องโหว่ที่แฮกเกอร์รู้จักและสามารถเจาะระบบของคุณได้ การอัปเดตจึงเป็นเหมือนการเสริมเกราะให้กับเว็บไซต์ของคุณ
เคล็ดลับ
- ตั้งค่าให้ WordPress, ธีม, และปลั๊กอินอัปเดตโดยอัตโนมัติ หากเป็นไปได้
- หากมีการอัปเดตครั้งใหญ่ ให้ทำการสำรองข้อมูลก่อนเสมอ เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการอัปเดต
2. เลือกใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่ซ้ำกัน
รหัสผ่านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ รหัสผ่านที่อ่อนแอหรือซ้ำกันในหลายบัญชีเพิ่มความเสี่ยงในการถูกแฮก การเลือกใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่ซ้ำกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
ลักษณะของรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง
- มีความยาวอย่างน้อย 12-16 ตัวอักษร
- ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่, พิมพ์เล็ก, ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ
- ไม่ใช้คำที่สามารถเดาได้ง่าย เช่น ชื่อ, วันเกิด, หรือคำทั่วไปในพจนานุกรม
เคล็ดลับ
- ใช้เครื่องมือสร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ เช่น LastPass หรือ Bitwarden เพื่อสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งและเก็บรักษารหัสผ่านทั้งหมดในที่เดียว
- อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี หากบัญชีหนึ่งถูกแฮก จะทำให้บัญชีอื่น ๆ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีเช่นกัน
3. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication)
การยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA) เป็นวิธีการเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งสำหรับบัญชีผู้ใช้งาน โดยนอกจากรหัสผ่านแล้ว ผู้ใช้ยังต้องยืนยันตัวตนด้วยวิธีอื่น เช่น รหัส OTP ที่ส่งทาง SMS หรือการยืนยันผ่านแอปพลิเคชัน Authenticator ซึ่งช่วยลดโอกาสที่แฮกเกอร์จะเข้าถึงบัญชีของคุณแม้จะมีรหัสผ่านก็ตาม
ประโยชน์ของ 2FA
- แม้ว่ารหัสผ่านของคุณจะถูกขโมย แต่หากไม่มีการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น แฮกเกอร์ก็ไม่สามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้
- เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานและลูกค้า เนื่องจากเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยสูงย่อมสร้างความเชื่อถือได้มากกว่า
เคล็ดลับ
- ใช้ปลั๊กอิน 2FA ที่เชื่อถือได้ เช่น Google Authenticator หรือ Authy เพื่อเพิ่มการยืนยันตัวตนแบบสองชั้นให้กับบัญชีผู้ใช้ทุกคน
- ให้ผู้ใช้งานทุกคนในระบบเปิดใช้งาน 2FA เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากบุคคลภายนอก
4. สำรองข้อมูลเว็บไซต์เป็นประจำ
การสำรองข้อมูลเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญหากเว็บไซต์ของคุณถูกโจมตีหรือเกิดปัญหาทางเทคนิค การสำรองข้อมูลจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนเว็บไซต์กลับสู่สถานะปกติได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สูญเสียข้อมูลสำคัญ การสำรองข้อมูลควรทำอย่างสม่ำเสมอและเก็บข้อมูลสำรองไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย
ประโยชน์ของการสำรองข้อมูล
- ช่วยป้องกันการสูญหายของข้อมูลจากการโจมตีของมัลแวร์ หรือการถูกแฮก
- ช่วยให้สามารถกู้คืนเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่ระบบเกิดปัญหาหรือการอัปเดตล้มเหลว
เคล็ดลับ
- ใช้ปลั๊กอินสำรองข้อมูล เช่น UpdraftPlus หรือ BackWPup เพื่อสำรองข้อมูลเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ
- กำหนดให้มีการสำรองข้อมูลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเก็บข้อมูลสำรองไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย เช่น บนคลาวด์หรือฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก
5. จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้งาน
การให้สิทธิ์การเข้าถึงเว็บไซต์อย่างเหมาะสมเป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี ไม่ควรให้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (Administrator) กับผู้ใช้งานที่ไม่จำเป็นต้องมีสิทธิ์นี้ สิทธิ์ที่มากเกินไปสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงและทำลายเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
การจัดการสิทธิ์การเข้าถึง
- มอบสิทธิ์การเข้าถึงให้กับผู้ใช้งานตามหน้าที่ที่จำเป็นเท่านั้น
- ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้งานในระบบเป็นประจำ และลบหรือปรับสิทธิ์ของผู้ใช้งานที่ไม่ใช้งานหรือไม่จำเป็นต้องเข้าถึงฟีเจอร์ที่สำคัญ
เคล็ดลับ
- ใช้ปลั๊กอินที่ช่วยจัดการและกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้งานได้ละเอียดขึ้น เช่น User Role Editor
- หลีกเลี่ยงการสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบหลายบัญชีโดยไม่จำเป็น และควรมีการควบคุมอย่างเข้มงวดในการเข้าถึงแดชบอร์ด WordPress
6. ปกป้องไฟล์ wp-config.php และ .htaccess
ไฟล์ wp-config.php และ .htaccess เป็นไฟล์ที่สำคัญที่สุดในการทำงานของเว็บไซต์ WordPress เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลการตั้งค่าฐานข้อมูลและการกำหนดค่าที่สำคัญ การปกป้องไฟล์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์
วิธีป้องกันไฟล์สำคัญ:
- ตั้งค่าการอนุญาตไฟล์ให้เข้าถึงได้เฉพาะผู้ใช้ที่จำเป็นเท่านั้น เช่น การตั้งค่าไฟล์ wp-config.php ให้สามารถอ่านได้เฉพาะผู้ใช้ระบบเท่านั้น
- เพิ่มกฎในไฟล์ .htaccess เพื่อป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่สำคัญจากบุคคลภายนอก
เคล็ดลับ
เพิ่มโค้ดในไฟล์ .htaccess เพื่อป้องกันการเข้าถึงไฟล์ wp-config.php จากภายนอก
<Files wp-config.php>
order allow,deny
deny from all
</Files>
- ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของไฟล์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาต
7. ใช้ปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้
การใช้ปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่มีคุณภาพเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ ปลั๊กอินเหล่านี้มีฟีเจอร์หลายอย่าง เช่น การตรวจจับการเปลี่ยนแปลงไฟล์ การบล็อก IP ที่น่าสงสัย และการแจ้งเตือนเมื่อมีการเข้าสู่ระบบที่ไม่ปลอดภัย
ปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่ควรพิจารณา
- Wordfence Security เป็นปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีฟีเจอร์ครอบคลุม เช่น Firewall, Malware Scan, และการบล็อก IP ที่น่าสงสัย
- iThemes Security ปลั๊กอินนี้เน้นการป้องกันเว็บไซต์จากการโจมตีด้วยการล็อคการเข้าถึงหลังจากมีการพยายามเข้าสู่ระบบที่ไม่สำเร็จหลายครั้ง
- Sucuri Security เป็นปลั๊กอินที่เน้นการตรวจสอบและแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย พร้อมทั้งมีบริการตรวจสอบและแก้ไขปัญหามัลแวร์
เคล็ดลับ
- เลือกใช้ปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่มีฟีเจอร์ครอบคลุมและได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง
- ตั้งค่าการแจ้งเตือนเมื่อมีความพยายามโจมตีเว็บไซต์หรือการเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ทันที
8. ปิดการใช้งานการแก้ไขไฟล์ในแดชบอร์ด WordPress
WordPress มีฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ดูแลระบบสามารถแก้ไขไฟล์ธีมและปลั๊กอินได้โดยตรงจากแดชบอร์ด การปิดใช้งานฟีเจอร์นี้จะช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์ที่สามารถเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบทำการแก้ไขโค้ดที่สำคัญของเว็บไซต์
วิธีปิดการแก้ไขไฟล์
- เพิ่มโค้ด define(‘DISALLOW_FILE_EDIT’, true); ในไฟล์ wp-config.php เพื่อปิดการใช้งานการแก้ไขไฟล์จากแดชบอร์ด
เคล็ดลับ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการสำรองข้อมูลก่อนการแก้ไขใด ๆ ในไฟล์ wp-config.php
- พิจารณาการปิดใช้งานฟีเจอร์อื่น ๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการโจมตี เช่น การปิดใช้งานการติดตั้งปลั๊กอินใหม่ ๆ จากแดชบอร์ด
9. ใช้ SSL/TLS เพื่อเข้ารหัสการเชื่อมต่อ
SSL/TLS เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ การใช้ SSL/TLS ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตาของผู้เข้าชมและเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ที่ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัย
ประโยชน์ของ SSL/TLS
- ป้องกันการดักฟังข้อมูลที่ถูกส่งระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิตหรือข้อมูลการเข้าสู่ระบบ
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะแสดงไอคอนกุญแจในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน
เคล็ดลับ
- ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณใช้ HTTPS แทน HTTP โดยสามารถรับใบรับรอง SSL ฟรีจากผู้ให้บริการเช่น Let’s Encrypt หรือซื้อจากผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงอย่าง Comodo
- ตั้งค่าการบังคับให้เว็บไซต์ทั้งหมดใช้ HTTPS ผ่านไฟล์ .htaccess หรือปลั๊กอิน SSL ที่มีความสามารถในการกำหนดค่าการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย
10. ตรวจสอบและจัดการกับ Malware และ Vulnerabilities
การตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อค้นหามัลแวร์หรือช่องโหว่ที่อาจถูกแฮกเกอร์ใช้ประโยชน์เป็นกระบวนการที่ต้องทำเป็นประจำ การใช้เครื่องมือที่ช่วยสแกนและตรวจจับมัลแวร์จะช่วยป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้
การตรวจสอบและจัดการกับมัลแวร์
- ใช้ปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยที่มีฟีเจอร์ในการสแกนมัลแวร์และช่องโหว่ เช่น Wordfence, Sucuri Security หรือ MalCare
- ตั้งค่าการสแกนเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ
เคล็ดลับ
- หากพบมัลแวร์หรือช่องโหว่ ควรดำเนินการแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
- พิจารณาการใช้บริการตรวจสอบความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญ หากเว็บไซต์ของคุณมีความซับซ้อนหรือมีการเก็บข้อมูลสำคัญ
สรุปท้ายบทความ วิธีการรักษาความปลอดภัยเว็บไซต์ WordPress
การรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ WordPress ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลของคุณและผู้ใช้งาน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ การปฏิบัติตามขั้นตอนที่กล่าวถึงในบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันการโจมตีและรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ความปลอดภัยที่ได้รับย่อมคุ้มค่ากับการลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรที่ใช้